เรื่องเก่าเล่าใหม่ EP9
โดย : ก้องเกียรติ ศรีทับทิม
(กรุงเทพฯ-เวนิส : 3 มิถุนายน-17 กรกฎาคม 2559)
เรื่องเก่าเล่าใหม่ EP8 “ทูหลู่ฟาน-คูกา (650 กม.)”
วันที่ 14 มิถุนายน 2559 : คูกา-คัชการ์ วันนี้ชาวคณะตื่นไม่สายมากนัก เพราะเมื่อคืนที่ผ่านมาก็ไม่ได้นอนดึก ทั้งที่ตอน 4 ทุ่มที่เมืองคูกานี้ยังแสงอาทิตย์ยังสว่างไสวอยู่เลย
8 โมงเช้า คณะวิจารณ์บันเทิงเริ่มเดินทางต่อ โดยมีพนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงแรมขอตรวจท้ายรถในขบวนทุกคัน เป็นการขัดจังหวะนิดหน่อย เขาคงสงสัยว่าพวกเรารีบออกไปไหนแต่เช้า กลัวจะเอาข้าวของโรงแรมติดกระเป๋าไปด้วย ทำให้กว่าจะได้ออกก็สายซะแล้วโยม
ในเมืองนี้ไม่เจอรถรามากนัก หนักไปทางรถสามล้อพ่วง และรถจักรยานที่จอดริมถนน พอเข้าเขตทางด่วน ความสดใสสีเขียวของใบไม้ก็หมดไป เหลือแต่สีฝุ่นของทะเลทรายตลอดเส้นทาง บนถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ช่วงเช้านี้มันชั่งอ้างว้างหัวใจเหลือเกิน นอกจากรถไฮลักซ์รีโว่ในขบวนแล้ว นานๆจะมีรถผ่านมาสักคันหรือแซงสักคัน และพายุทะเลทรายที่เจอกันประจำช่วง 2-3 วันมานี้ เหมือนเป็นเพื่อนการเดินทางครั้งนี้ไปซะแล้ว
สายๆก่อนเที่ยง คณะคาราวานก็ทำการทดสอบช่วงล่างของรถไฮลักซ์รีโว่อีกครั้ง บนทุ่งหญ้าทะเลทรายทาลิมากัน วิ่งฝุ่นตลบอยู่หลายรอบ ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองแถวนั้นที่ขับรถผ่านมา ต้องจอดดูว่าพวกนี้มันทำอะไรกัน? อั๊วไม่เข้าใจ!!
ช่วงเที่ยง ชาวคณะได้แวะเข้ามาในเมือง Sanchakou อ่านว่าอะไรดีหละ เพื่อทานอาหารฝีมือของคนท้องถิ่น ซึ่งมื้อนี้ก็ประกอบไปด้วย ผัดพริกหมู หมูสามชั้นผัดพริกแห้ง หมั่นโถกินกับผัดถั่วฝักยาวใส่หมูสับกับแครอท ตับผัดพริก ผัดถั่วฝักยาวใส่พริก มะเขือเทศผัดไข่ และซุปหมูใส่ฟักทองข้าวโพดและแครอท มื้อนี้ได้ใจชาวคณะไปหลายคนเลย เพราะรสชาติจัดจ้านใกล้เคียงกับอาหารไทย
ออกจากร้านอาหาร ก็เดินทางกันต่อมุ่งหน้าสู่เมืองคัชการ์ ไปบนถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ที่ตัดผ่านทะเลทรายทาลิมากัน แล้วเศษหินก้อนเล็กๆที่อยู่ตามท้องถนนก็ออกฤทธิ์เดชอีก เพราะรถคันหน้าวิ่งแล้วดีดหินใส่กระจกรถคันหลังจนกระจกร้าวไปอีกหลายคัน ซึ่งตอนนี้ทั้งขบวนมีรถที่กระจกไม่ร้าวอยู่ 3 คัน ทำให้ต้องขับแบบระมัดระวังกันมากขึ้น ไม่เล่นท่ายาก ไม่เข้าใกล้รถคันหน้ามากเกินไป และขบวนคาราวานก็มาถึงโรงแรมที่พักในช่วงไม่เย็นมากนัก แต่ก็รู้สึกหวั่นๆใจชอบกล เพราะตามสี่แยกจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหาร ยืนถือปืนประจำอยู่ทุกแยกเลย แล้วยังต้องมาผจญกับรถยนต์และรถนานาชนิดที่วิ่งขวักไขว่ช่วงกำลังเลิกงานพอดี
โรงแรมที่พักอยู่ตรงหัวมุมถนน มองไปข้างหน้าก็เห็นอนุสาวรีย์ เหมาเจอตุง ประธานาธิบดีจีน ที่ยืนยกมือขวาเหมือนโบกทักทายชาวจีนบนแท่นขนาดใหญ่ คั่นกลางด้วยถนนสี่เลนกับลานอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ ผมยืนชื่นชมความใหญ่โตของดินแดนแถวนี้แล้วก็ขนของขึ้นไปเก็บที่ห้องพัก ล้างหน้าล้างตาก่อนจะลงมาเดินสำรวจเมืองอีกที 6 โมงเย็นตามเวลานัดกับพรรคพวก แต่กว่าจะรวมตัวกันได้ก็เกือบ 6 โมงครึ่ง ทำให้การเดินสำรวจเมืองวันนี้ไปได้ไม่ไกล แค่รอบๆโรงแรมที่พัก เพราะมีนัดทานอาหารค่ำชุดพิเศษกันตอน 1 ทุ่ม มื้อค่ำในโรงแรม มีทั้งผัดดอกกะหล่ำ เกี๊ยวนึ่ง ไข่เจียวมะระ ผัดหมูยอกับเส้นบุก ซุปน้ำข้น เนื้อแพะตุ๋น และเป็ดปักกิ่ง ที่นี่เขาหั่นเนื้อเป็ดเป็นชิ้นใหญ่ติดมากับหนังให้ด้วยไม่เหมือนที่อื่นเลย นั่งกินนั่งดื่มกันอยู่พักใหญ่ก็เกือบ 4 ทุ่ม ได้เวลาแอบหนีขึ้นนอนพักแล้ว เพราะวันรุ่งขึ้นมีงานต้องสำรวจเมืองคัชการ์ทั้งวัน ผมเดินมากดลิฟต์คนเดียว พอกดเลขชั้นที่พักได้ลิฟต์ขึ้นไปยังไม่ถึงแล้วเกิดไฟฟ้ากระตุก ไฟในลิฟต์ดับค้างอยู่แบบนั้นกว่า 10 นาที ใจหายทำไรไม่ถูกเลย สวดมนต์ก็ไม่เป็น จึงท่องสูตรคูณไปเรื่อยๆ พอดีมีพรรคพวกมากดลิฟต์ขึ้นไปห้องพักบ้าง ลิฟต์กลับมาทำงานตามปกติได้เหมือนสูตรคูณของผมจะขลังมาก นึกว่าจะต้องนอนตายในลิฟต์ซะแล้วงานนี้ ครั้นจะยืนตายก็กลัวล้ม ฮ่าฮ่า