เรื่องเก่าเล่าใหม่ EP10
โดย : ก้องเกียรติ ศรีทับทิม
(กรุงเทพฯ-เวนิส : 3 มิถุนายน-17 กรกฎาคม 2559)
อ่าน เรื่องเก่าเล่าใหม่ EP9 “คูกา-คัชการ์”
วันที่ 15 มิถุนายน 2559 : ทัวร์เมืองคัชการ์ วันนี้พักผ่อนครับ ชาวคณะ ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน ทริป บทพิสูจน์จริงระดับโลก ไม่ได้ขับรถ 1 วัน เพื่อให้รถไปเข้าอู่ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง และเตรียมเครื่องให้พร้อม ก่อนที่จะเดินทางกันอีกยาวไกล หลังออกเดินทางมาจากเมืองไทยร่วม 2 สัปดาห์ เป็นโอกาสให้ชาวคณะคาราวานได้ออกทัวร์เที่ยวเมืองคัชการ์ โดยใช้รถบัสเป็นพาหนะ
วันนี้ 9 โมงกว่าๆ รถบัสก็มารอรับที่หน้าโรงแรม เราออกเดินทางผ่านอนุสาวรีย์ท่านประธานเหมาเจอตุง เข้าไปในเมืองที่รถค่อนข้างเยอะ ผ่านเมืองเก่าคัชการ์ และเมืองเก่าที่บูรณะใหม่ แต่ด้วยฝนที่ตกลงมาทำให้แผนการเดินทางต้องเปลี่ยนจากมัสยิดอิดคาห์ ซึ่งเป็นที่ละหมาดและเป็นศูนย์รวมจิตใจชาวมุสลิมทั่วทั้งมณฑลซินเกียง ไปเดินเล่นที่แกรนด์บาซาร์ หรือตลาดใหญ่ประจำเมือง
เมืองคัชการ์ ในอดีตคือจุดแวะพักบนเส้นทางสายแพรไหม และทุกวันอาทิตย์จะมีตลาดนัดกลางแจ้งที่ใหญ่มาก มีพ่อค้าแม่ค้าราวๆ 50,000 คน มาทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าเครื่องใช้นานาชนิด ซึ่งถือว่าเป็นเมืองที่สำคัญมาก
เมื่อมาถึงตลาดแกรนด์บาซาร์ สายฝนก็เริ่มซาเม็ดลง แต่ยังไม่หยุดซะทีเดียว พอลงจากรถบัสได้ต้องรีบวิ่งไปหาที่บังฝน ก่อนจะเดินเข้าไปในตลาด เดินเข้าไปก็เห็นแต่ร้านรวงต่างๆอยู่ในล็อกที่ปิดด้วยประตูม้วน มีบางร้านกำลังเปิดเพราะอยู่ในช่วงเช้า เดินเล่นอยู่พักใหญ่ ร้านค้าต่างๆก็เปิดกันมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นร้านขายเสื้อผ้าแพรพรรณ ทั้งชุดกี่เพ้า ส่าหรี พรมผืนเล็กผืนใหญ่ ผ้าพันคอ หมวกกะปิเยาะ พร้อมทั้งชุดเสื้อผ้า รองเท้า ซึ่งทำจากขนสัตว์ หรือตัวมิ้งที่เอามาทำเป็นผ้าพันคอ
คณะเราเดินวนไปวนมาเกือบ 2 ชั่วโมง ในตลาดนี้ก็ยังไม่มีลูกค้าชาวจีนหรือต่างชาติชาติอื่นๆเลย นอกจากคนไทยกลุ่มของพวกเราเท่านั้น ร้านไหนเปิดก็เฮกันเข้าไปสอบถามราคา สินค้าที่พรรคพวกทางเมืองไทยสั่งฝากซื้อ มาถึงร้านขายหมวกสินค้าที่ได้ออเดอร์มา หมวกกะปิเยาะ ก็เข้าไปสอบถามจากพ่อค้าที่ดูแล้วคล้ายชาวแขกขาว ต่อรองราคากันอยู่พักใหญ่ แม้จะมีไกด์ท้องถิ่นช่วยเจรจาอยู่ด้วยก็ตกลงราคากันไม่ได้ จนออกมาสอบถามกับร้านข้างๆที่มีพ่อค้าเป็นชาวอุยกูร์ ร้านนี้ลดราคาให้ พวกเราก็กรูเข้าไปจนแน่นหน้าร้าน อุดหนุนกันไปร้อยกว่าหยวน จนพ่อค้าชาวแขกขาวออกมามองพวกเรากันตาปริบๆ
ออกจากด้านในตลาดก็เดินลัดเลาะริมด้านนอก ดูสินค้านานาชนิดที่เปิดขายกันอย่างมากมาย แต่ที่สะดุดตามากที่สุดก็ลูกเกดชนิดต่างๆ ทั้งเม็ดเล็กเม็ดใหญ่ ราคาถูกกว่าบ้านที่ปลูกในสวนองุ่นที่ไกด์ท้องถิ่นพาไปดูเมื่อสองถึงสามวันที่ผ่านมาซะอีก และพรมก็มีวางขายทั้งผืนเล็กและผืนใหญ่มากๆ
ข้ามฟากจากตลาดก็มาที่เมืองเก่า เมืองโบราณคาซือ เมืองแห่งมนต์ขลัง เป็นเมืองเก่าที่มีความเป็นมานับร้อยนับพันปี เดินข้ามสะพานสลิง ผ่านป่าอ้อและลำธารเล็กๆ เข้าไปก็เจอกับซากตึกที่ก่อด้วยอิฐ บางหลังฉาบปูน บางหลังก็ไม่ได้ฉาบ บางหลังที่พังทลายไปมากก็มี และบางหลังก็ดูแล้วเหมือนสร้างขึ้นมาใหม่ อยู่ติดเป็นแถวขึ้นไปบนเนินเขา คณะเราเดินเข้าไปก็มีเด็กเล็กๆอายุประมาณ 3-4 ขวบออกมาดูด้วยความสนใจ
เมืองโบราณนี้ ถ้าคนดูหนังเกี่ยวกับสงครามในตะวันออกกลาง คงจะพอผ่านตากันมาบ้าง เพราะหลายเรื่องมาใช้สถานที่นี้ถ่ายทำ (ไกด์เขาบอกมา) และเมืองโบราณนี้ มีบ้านหนึ่งที่เขาได้ชื่อว่าเป็นศิลปินระดับแนวหน้าของเมืองในการทำเซรามิก หรือเครื่องปั้น เครื่องเคลือบดินเผา พวกแจกัน ถ้วยชาม เขาทำด้วยวิธีขึ้นแป้นหมุน ซึ่งคนที่จะทำได้ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนนานเป็นปีเลยทีเดียว ผลิตภัณฑ์ที่นี่จะนับว่าเป็นงานชิ้นเดียวของโลกก็ว่าได้ เพราะเขาเผาด้วยเตาฟืน ทำให้ได้อุณหภูมิไฟไม่คงที่ เมื่อเผาผลิตภัณฑ์เครื่องเคลือบแต่ละครั้งก็จะได้สีสันที่ต่างกันไปเลย
ออกจากเมืองโบราณ ทั้งคณะก็เดินมาขึ้นรถบัสเพื่อไปร้านอาหารจีน ไปทานมื้อกลางวันด้วยเมนูที่คล้ายๆกันเกือบทุกวัน กินๆไปเพื่อให้อิ่ม เสร็จแล้วมีแรงก็ออกเดินทางไปท่องเที่ยวต่อ ช่วงบ่ายนี้จะไปเดินเที่ยวกันที่เมืองโบราณสร้างใหม่ อยู่ตรงข้ามเมืองโบราณเก่า โดยเมืองโบราณใหม่ เป็นเมืองสร้างใหม่เพื่อเลียนแบบเมืองเก่า มีทั้งร้านขายเครื่องปั้นดินเผา ร้านกาแฟ ร้านทำขนมปัง ร้านขายผลิตภัณฑ์ไม้ และร้านขายเนื้อแพะ ที่แขวนแพะทั้งตัวห้อยโตงเตงอยู่หน้าร้าน แต่ไม่มีหัว ไม่รู้ว่าเอาไปบูชายัญหรือเปล่า
เดินทะลุเมืองโบราณใหม่ ก็เป็นตลาดที่ผู้คนมาจับจ่ายซื้อของกันอย่างมากมาย แต่จุดหมายของเราอยู่ฝั่งตรงข้าม เดินข้ามถนนไปก็เจอ อ้ายถีเอ่อร์ มัสยิดที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในมณฑลซินเกียง ช่วงนั้นเป็นเวลาที่ละหมาดพอดี เขาจึงขอร้องให้เดินเข้าชมให้สงบเสงี่ยมและไม่ไปเกะกะพิธีละหมาด ทางเจ้าหน้าที่ก็พาเดินลัดเลาะผ่านเข้าไปในมัสยิด พาไปชมไฮไลต์ของที่นี่ คือพรมขนาดใหญ่ที่เก็บรักษาไว้อย่างดี เป็นพรมที่จักรพรรดิแห่งเปอร์เซียมอบให้เมื่อครั้งอดีต พอออกจากมัสยิด ข้างๆก็เป็นร้านขายของที่ระลึกนานาชนิด ที่ได้แต่เดินดูไม่กล้าซื้อเพราะกลัวยุ่งยากตอนขนกลับประเทศไทย
อ้ายถีเอ่อร์ มัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลซินเกียง มีพื้นที่ 16,800 ตารางเมตร สร้างขึ้นในปี พ.ศ.1985 (ค.ศ.1442) มีความสูง 12 เมตร ตกแต่งด้วยกระเบื้องอิฐสีเหลือง ตัวมัสยิดสองข้างซ้ายขวามีหอสูง 18 เมตร ภายในสามารถประกอบพิธีละหมาดได้ 10,000 คน แต่ถ้ารวมถึงภายนอกบริเวณมัสยิดสามารถจุคนได้ 30,000-50,000 คน ในเทศกาลสำคัญทางศาสนา ทั้งภายใน-นอกมัสยิดรวมถึงบริเวณจัตุรัสโดยรอบ ชาวมุสลิมนับแสนคนเคยหลั่งไหลมาชุมนุมเพื่อร่วมประกอบพิธีทางศาสนาที่นี่ด้วยความศรัทธา
ก่อนถึงเวลาอาหารค่ำ ได้นัดพรรคพวกไปเดินตรวจตลาดอีกรอบหนึ่ง คราวนี้มีทหารถือปืนอยู่ตามแยกต่างๆทุกแยกเลยก็ว่าได้ ในตลาดเห็นร้านขายไก่ทอด ดูคล้ายกับร้านไก่ทอดเคนตักกี ที่มีลุงหัวหงอกผมขาวเปิดสาขาอยู่ทั่วโลก ก็เข้าไปอุดหนุนกันซะหน่อย รสชาติก็ต่างกันเยอะ ที่นี่เขาใช้มือหยิบกินกัน ไม่มีซ่อมกับมีดให้ กินเสร็จก็เดินต่อ เจอแผงขายผลไม้ บางอย่างเหมือนเมืองไทย ทั้งมังคุด ทุเรียน และลำใย
มื้อเย็นวันนี้หวดกันที่โรงแรมที่พัก มีทั้งผัดกวางตุ้ง ซุป กุ้งกระทะ (มาทั้งกระทะเลย) ไก่ต้ม ผัดถั่วฝักยาว ผัดหน่อไม้ฝรั่ง บล๊อคโคลี่ กินเสร็จก็รีบขึ้นห้องพักครับ เพื่อเก็บของและนอนเอาแรง เพราะพรุ่งนี้จะเจออะไรที่ด่านชายแดนยังไม่รู้เลย