เรื่องเก่าเล่าใหม่ EP13
โดย : ก้องเกียรติ ศรีทับทิม
รณชิตเคยมีประสบการณ์ขับรถผ่านด่านเข้าอุซเบกิสถาน จะว่ายุ่งก็ไม่รู้ยุ่งตรงไหน แต่ทำไมรอนานมาก นั่งตดแตกจนแห้งลำไส้ก็ไม่เสร็จธุระ เพื่อนผมบางคนต้องไปนั่งบังกองเหล็ก เพื่อวางทุ่นระเบิด คือมันไม่มีห้องน้ำให้เข้าอะครับ เที่ยวนี้เป็นประสบการณ์ของคุณก้องเกียรติเข้าให้บ้าง เอาที่พี่สำราญใจเลยนะครับ
รณชิต เฉลิมชาติ เด็กสร้างของพ่อไกรสิงห์และแม่บุญเรือง
อ่าน เรื่องเก่าเล่าใหม่ EP12 “หมู่บ้านซารีทัช-เมืองออช”
วันที่ 18 มิถุนายน 2559 : วันนี้คณะไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน ตื่นกันแต่เช้า เพื่อรีบไปที่ด่านชายแดนคีร์กีซสถาน แต่หัวหน้าขอมีข้อตกลงว่า จะให้ไกด์ท้องถิ่นนำผู้โดยสารที่ผ่านออกด่านคีร์กิซสถาน และพ้นเข้าด่านอุซเบกิสถานได้แล้ว พาไปขึ้นรถรับจ้างส่งไปยังเมืองทัสเค้นท์ล่วงหน้า ไม่ต้องแกร่วรอจนขบวนรถคาราวานออกมา เขาว่าคงนาน มีตรวจภายในด้วยมั้ง ฮ่าๆ แต่พวกเราตัดสินใจว่า มาพร้อมกันก็ไปพร้อมกันดีกว่า
จากประสบการณ์บอกให้รู้ว่า รถโดยสารที่นี่เป็นรถเก๋งคันเล็ก ตัวกระจี๊ดราวรถ ไดฮัทสุ มิร่า ไปกันได้ประมาณคันละ 3 คน ถ้าคนขับจะพาเตลิดไปไหนก็ไม่รู้ แค่ไกด์ท้องถิ่นช่วยติดต่อเรื่องเอกสารเกี่ยวกับการนำรถเข้าเมืองก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยสำหรับประเทศอุซเบกิสถาน สิบอกไห่!!
เมื่อชาวคณะได้ข้อตกลงชายแดนคีร์กิซ-อุซเบ เรียบร้อยกันเสร็จในตอนเช้าแล้วก็ออกเดินทาง ซึ่งอยู่ไม่ไกลตัวเมืองออชมากนัก ด้วยความช่วยเหลือของไกด์ท้องถิ่นในเรื่องภาษา เอกสารรถและหนังสือเดินทาง ทำให้ทั้งคณะผ่านด่านคีร์กิซมาได้ด้วยดี โดยใช้เวลาไม่นานนัก แต่พอมาถึงด่านอุซเบกิสถาน ตัวดีเลย ผู้โดยสารและผู้ขับรถต้องแยกกัน ผู้โดยสารต้องลากกระเป๋าเดินทางของใครของมันกันไปเอง แต่ก็ยังติดอยู่หน้าประตูทางเข้า เพราะเป็นช่วงพักเที่ยง พอได้เวลาก็ค่อยเดินเข้าไปทีละคน เจอทหารที่เฝ้าตามจุดก็ตรวจพาสปอร์ตกันทีละคนอีก กว่าจะถึงห้องตรวจคนเข้าเมืองก็หัวร้อนแล้วครับ





เมื่อมาถึงก็ต้องนั่งคอยเวลากันอีก กว่าเจ้าหน้าที่จะเรียก คนไหนปวดตดกลัวเพื่อนเหม็น ลุกเดินจุ้นจ้านก็โดนเจ้าหน้าที่เรียกให้นั่ง ห้ามเดิน ก่อนจะถามว่ามาจากไหน พอรู้ว่ามาจากไทยแลนด์ ก็คุยเลย คุยน้ำลายแตกเป็นฟองฟอด เรื่องมวยไทยสับศอกแตกแอลตาซิลแจกเข็มละห้าร้อย และองค์บากกระชากวิญญาณ ประมาณลองเชิงถามดูว่าเป็นคนไทยแน่จริงหรือเปล่า?
ณ จุดนี้พวกเราก็เจอกับไกด์ท้องถิ่นชาวอุซเบกิสถาน ที่มารับไม้ผลัดต่อไป มาช่วยเรื่องเอกสาร แต่ระบบราชการที่นี่เข้มงวดมาก โดยเฉพาะความเป็นมุสลิม จึงห้ามสิ่งของหลายอย่างเข้าประเทศ เช่น จำพวกสิ่งอนาจารทั้งหลายแหล่ รูปภาพเอวกลมนมปลิ้นที่บันทึกไว้ในโทรศัพท์มือถือ ต้องรีบลบให้เกลี้ยงเลยครับ เขาไม่ขอดูทุกเครื่องหรอกนะ แต่ถ้าเรียกใครแล้วเจอรูปกำลังแอ่นอกกระดกก้น..ฮ่าฮ่า แค่นี้นะจ๊ะ อีแมะอาจได้สาบานต่อหน้าสุเหร่า
กว่าจะผ่านมาได้ก็ตรวจละเอียดผ่องแผ้วนพคุณ กระเป๋าทุกใบเปิดค้นหมด ของทุกชิ้นอยากรู้เป็นอะไรเปิดเช็คหมด กล้องถ่ายภาพ เปิดเช็ครูปทุกเฟรม คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค เปิดเช็คทุกโฟลเดอร์ เจอภาพไม่พึ่งประสงค์สั่งให้ลบทันทีเลย คนที่โชคดีหน่อยก็เป็นพี่ใหญ่ในกลุ่ม พอเจ้าหน้าที่รู้ว่าเป็นโรคหัวใจมียามาโชว์ด้วย เจ้าหน้าที่ปล่อยให้ผ่านไปเลย สรุปใช้เวลาในการตรวจพวกเรากว่าจะเสร็จก็ร่วม 2 ชั่วโมง (เฉพาะผู้โดยสาร) พอคณะเราผ่านมาได้ก็รีบเดินโกยอ้าวออกมาเลย ไม่อยากอยู่บริเวณนั้นกลัวโดนเรียกไปสอบถามอีก




ชาวเราที่เป็นกลุ่มผู้โดยสาร ได้มาอาศัยร้านอาหารบริเวณหน้าด่านนั่งหลบแดดกันอยู่พักใหญ่ แล้วมื้อเที่ยงก็อาศัยร้านนี้ละ เป็นซุปสปาเก๊ตตี้เนื้อ มีเครื่องเคียงเป็นมะเขือเทศ แตงกวา พริกชี้ฟ้า โรยด้วยผักชีฝรั่ง ถ้าใครชอบเปรี้ยวก็มีพริกน้ำส้มที่ใส่ไว้ในขวดวางอยู่บนโต๊ะ แต่ดูแล้วคงวางมานานจนสีเปลี่ยนไปเยอะ เอาว่าอย่าไปยุ่งกับมันจะดีกว่า เพื่อความปลอดภัยกับท้องไส้ตัวเอง
ประมาณ 4 โมงเย็น รถนำขบวนคันแรกก็ออกจากด่าน พวกเราต่างไชโยโห่ร้องด้วยความดีใจ เพราะเร็วกว่าที่คาดไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง เมื่อรถออกมาครบก็จัดข้าวของเข้าประจำรถแต่ละคัน แล้วก็บอกให้ไกด์ท้องถิ่นเข้าไปเคลียร์กับร้านอาหารที่เรานั่งกินกัน เพราะว่าราคาแพงเกินขนาดที่ไอ้เม่นจากไทยแลนด์จะรับได้ จนได้เงินคืนมา 20 ดอลล่าร์ ก็ได้ฮากันพองาม
ทุกคนขึ้นรถ ปัญหาทุกอย่างเคลียร์ได้ การเดินทางเข้าเมืองทัสเค้นท์ก็เริ่มขึ้น ด้วยถนนหินเกล็ดที่ยังสร้างไม่เสร็จ ขบวนรถวิ่งผ่านไปก็ฝุ่นคลุ้งตลบเข้าบ้านเข้าช่องแถวนั้น ไม่รู้ว่าจะโดนด่าหนักมากน้อยกี่กิโลกรัมขนาดไหน เมื่อขึ้นถนนลาดยางได้แล้วเช็คดูระยะทาง กว่าจะถึงที่พักวันนี้ก็อีก 300 กม.จึงชวนกันแวะร้านอาหารพื้นเมืองของชาวอุซเบก่อน เพราะบางคนมื้อกลางวันก็ไม่ได้ทานอะไรเลย และถือเป็นมื้อเย็นไปในตัวด้วย





อาหารมื้อนี้ก็เป็นพวก ซุปไก่ ปลาชุบแป้งทอด และเนื้อแกะเนื้อแพะย่าง พร้อมขนมปังก้อนกลมๆ แต่ที่นี่นุ่มมาก ไม่แข็งเท่าขนมปังที่ซินเกียง นั่งกินกันไปคุยกันไปเรื่องผ่านแดน ก็พอให้รู้ว่ารถทุกคันโดนตรวจทั้งเอกสาร ระบบต่างๆ และสัมภาระทุกชิ้นอย่างละเอียด จากเจ้าหน้าที่ ทั้งจากทหาร และสุนัขทหารที่มาดมกลิ่นตรวจหาสิ่งต้องห้ามบนรถอีกหนึ่งรอบเพื่อความมั่นใจ โดยทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเกือบ 6 ชั่วโมง บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่ชายแดน ตรวจแล้วตรวจอีก กว่าจะปล่อยมาได้
พอคนอิ่ม ก็หาปั๊มน้ำมันเพื่อเติมพลังให้กับรถโตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ เพราะไม่ได้เติมน้ำมันมาเลย ตั้งแต่ข้ามด่านที่ชายแดนจีนมาจนถึงชายแดนอุซเบ ที่วิ่งขึ้นเขาลงห้วยมาตลอด 550 กม.ซึ่งพวกเราก็เติมกันเต็มถังเพื่อความสบายใจ เพราะไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเจอกับเหตุการณ์โปรโมชั่นอะไรอีกบ้าง
การเดินทางช่วงเย็นย่ำค่ำนี้ ชาวเราก็ระมัดระวังกันเป็นพิเศษ เพราะปริมาณรถก็เยอะพอสมควร พอออกนอกเมืองก็เริ่มเบาบางลง แต่รถที่วิ่งผ่านไปมาใช้ความเร็วค่อนข้างสูง ขับมาได้ระยะหนึ่งก็เกือบร้อยกิโล ก็แวะห้องน้ำซะหน่อย บริเวณตลาดข้างทางพอชาวเราเดินลงไปก็กรี๊ดกร๊าดสนั่นแห้วกันเลย เพราะตลาดนี้มีแต่แม่ค้าสาวๆชาวอุซเบ ที่มาขายของ ขายขนม แม่ค้ากรี๊ดหนุ่มไทย เดาว่าคงเพราะเพิ่งเคยเจอว่าหล่อจริงยิ่งกว่ากำนันเข้ม





เมื่อต่างคนต่างกรี๊ด ขอถ่ายภาพกันนิดหน่อยเสร็จแล้ว ก็ออกเดินทางต่อ แต่ช่วงนี้ไม่ง่ายนักเพราะเจอด่านทหาร ที่ขอตรวจระหว่างทางอีกกระทอก และพอมาถึงจุดยุทธศาสตร์ พวกเราก็ต้องลงจากรถกันตอนเที่ยงคืน ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นมาก มาเข้าคิวยืน หน้าตรงคอกระดอตรงตูด ตรวจพาสปอร์ต โดยต้องมาอยู่จุดนี้กันเป็นชั่วโมงกว่าเจ้าหน้าที่จะให้ผ่านไปได้
คณะคาราวานมาถึงเมืองทัสเค้นท์ อุซเบกิสถาน เกือบตีสี่ มาถึงรถก็ยังเข้าจอดในโรงแรมไม่ได้ เพราะโรงแรมฝั่งตรงข้ามมีบุคคลสำคัญของรัสเซียมาประชุม เลยต้องมาจอดกันริมถนน พอขึ้นห้องพักได้ก็ตีลังกาลงเตียงนอนหลับเป็นตายเลย ไม่สนแมวอะไรทั้งนั้น จ๋าจ้า