โดย : ก้องเกียรติ ศรีทับทิม
(กรุงเทพฯ-เวนิส : 3 มิถุนายน-17 กรกฎาคม 2559)
ตอนที่ 6 : ตุนหวง-ฮามี่ (494.8 กม.)
อ่าน เรื่องเก่าเล่าใหม่ EP5 “บางกอก-ปักกิ่ง-ตุนหวง”
วันที่ 11 มิถุนายน 2559 : สวัสดีครับแฟนๆที่เคารพ กระผม “ก้องเกียรติ ศรีทับทิม” รายงานตัวเข้าเวรผลัด 2 ตอนที่ 6 รับไม้ต่อจาก “ฉัตรมงคล ดวงฤทธิ์” ผลัด 1 ซึ่งขับจากบางกอกมาถึงตุนหวง ในวันที่ 10 มิถุนายน 2559 จบเห่เอวังสมปรารถนาทุกมิติ กว้างxยาวxสูง เสร็จภารกิจอย่างขาวผ่องยองใยใสสะอาด
เช้าวันนี้ คณะไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน ทริป บทพิสูจน์จริงระดับโลก ทั้งผลัด 1 และผลัด 2 ทำการคูลดาวน์ โดยนั่งรถบัสจากโรงแรมที่พัก ไปยังถ้ำโม่เกา ซึ่งเมื่อไปถึงก็เจออาคารสร้างใหม่ใหญ่โต สร้างอยู่กลางทุ่งหญ้าและทะเลทราย แต่ไม่คุ้นตาเลยครับ ไกด์ท้องถิ่นบอกว่าต้องมาเปลี่ยนรถที่นี่ เพราะทางการจีนไม่ต้องการให้นักท่องเที่ยวขับรถเข้าไปข้างใน และจำกัดรอบของผู้คนที่จะเข้าไปดูด้วย ซึ่งก็นับเป็นวิธีที่ดี เพราะถ้ารถวิ่งเข้าไปเยอะ จะมีผลต่อถ้ำและปติมากรรมภายในอย่างแน่นอน โบสถ์เก่าแก่ในยุโรปหลายแห่งก็ห้ามถ่ายรูปโดยใช้แฟลชครับ เพราะมีผลกระทบต่อสีของภาพเขียนต่างๆ พอเดินเข้าไปในที่ทำการก็ต้องผ่านเครื่องตรวจโลหะ และพวกสิงห์ขี้ยาก็โดนอีกแล้ว ให้ทิ้งไฟแช็คไว้ที่หน้าเครื่องสแกนนั่นเลย
เดินไปถึงที่ขึ้นรถก็ต้องรอ เพราะถ้าชุดทัวร์ข้างในยังไม่ออกมา เจ้าหน้าที่ก็จะไม่ปล่อยให้รถชุดใหม่เข้าไป และเมื่อไปถึงถ้ำโม่เกา ก็ต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตรงนี้อีกครั้ง เพื่อจะได้มีมัคคุเทศก์มาเปิดถ้ำ และอธิบายถึงถ้ำต่างๆว่ามีความเป็นมาอย่างไร ก้องเกียรติเคยมาที่นี่แล้วเมื่อ 9 ปีก่อน ตอนนี้ถ้ำต่างๆได้รับการบูรณะใหม่เกือบหมด จากหน้าผาหินทรายที่เจาะเป็นช่อง มีประตูไม้สำหรับเปิด-ปิด กลายเป็นฮอลลีวูดสร้างฉากใหม่ ดูเหมือนเป็นอาคารขนาดใหญ่ ผนังหินทรายโดนปูนโบกทับเกือบหมด แต่เมื่อเข้าไปภายในถ้ำ ก็ยังโอเคเยส ยังอนุรักษ์ของเก่าไว้อยู่ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
บางถ้ำมีเครื่องวัดความชื้น เอาไว้ตรวจสอบเวลาฝนตกน้ำซึมเข้ามาภายใน ทำให้ภาพเขียนตามผนังถ้ำเสียหาย ถ้าตรวจพบก็สามารถแก้ไขได้ทัน ซึ่งถ้ำต่างๆเหล่านี้เกิดจากกลุ่มนักเดินทางและคาราวานสินค้า สมัยเส้นทางสายไหมบก ปักกิ่ง-เวนิส ที่มาแวะพักหลบภัยธรรมชาติ ทั้งหิมะหรือฝน เป็นเวลานาน ก็สลักหินเป็นพระพุทธรูปเพื่อการสักการะขอพร เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เมื่อมีนักเดินทางทยอยผ่านหลายกลุ่มก้อน และหลายสิบปีจนเป็นร้อยปี ซึ่งต่างก็แวะถ้ำนี้ แล้วเจาะถ้ำสลักหินทรายเป็นของส่วนตัวเพื่อสักการะ จนเกิดถ้ำมากมายในเนินเขาแห่งนี้ นักเดินทางสมัยโน้น ต้องมีที่พักรายทาง เหมือนที่เราจอดรถแวะปั๊มในสมัยนี้นะครับ
ถ้ำโม่เกา ตั้งอยู่หน้าผาเชิงเขาด้านตะวันออกของภูเขาหมิงซาซาน ห่างจากเมืองตุนหวงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ 25 กิโลเมตร โดยกระจายบนหน้าผาจากบนถึงล่าง รวม 5 ชั้น มองเห็นช่องต่างๆ อย่างชัดเจน โดยมีความยาวจากเหนือจรดใต้ 1,600 เมตร ถ้ำนี้เริ่มขุดเจาะตั้งแต่ปี พ.ศ.909 (ค.ศ.366) สมัยราชวงศ์ตงจิ้น หลังจากนั้น มีการขุดเจาะต่อจากสมัย 16 ก๊ก ถึงสมัยราชวงศ์หยวน รวม 10 กว่าราชวงศ์ จนสำเร็จผลขึ้นเป็นกลุ่มถ้ำหินที่มีขนาดใหญ่โตมหึมา รายละเอียดของศิลปะยังคงอยู่ครบ
นับเป็นขุมทรัพย์อันล้ำค่าแห่งพุทธปฏิมาศิลป์ที่มีขนาดมโหฬาร และได้รับการอนุรักษ์ไว้ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดของโลกจนถึงปัจจุบัน จนได้รับฉายานามว่า “เพชรน้ำหนึ่งแห่งศิลปะตะวันออก” ถามตารณชิตเจงกิสจ่อยนั่นก็ได้ แกก็เคยมาเดินแกว่งกระโปกห้อยแถวนี้เหมือนกัน
ออกจากถ้ำโม่เกา คณะวิจารณ์บันเทิงก็กลับมาโรงแรมที่พัก เพื่อรับประทานอาหารกลางวันฉันเพลร่วมกัน มีทั้งผัดถั่วฝักยาว ผัดพริก ซี่โครงหมูทอด เป็ดปักกิ่ง ไปยาลใหญ่ จำชื่อไม่ได้อีกหลายเมนู แต่กินสำรองไว้ก่อน เอาไว้กันตาย เผื่อมื้อเย็นมันปาเข้าไปหลังเที่ยงคืน..นับจากนี้ก็เข้าสู่โหมด “ดังแล้วแยกวง” ผลัด 1 อำลาตุนหวง ขี่เรือบินกลับบางกอก ส่วนผลัด 2 ก็รับไม้ต่อ ขับรีโว่เข้าตีหัวเมืองรายทาง ตามลายแทงที่ได้รับแจ้งมา
การเดินทางของผลัด 2 ออกจากโรงแรมก็ลัดเลาะมาตามถนนที่กำลังก่อสร้าง มีหลงหน้าหลงหลังบ้างตามประสามือเซียน หาทางเลียบเมืองเพื่อไปขึ้นถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ระหว่างทางรถเบอร์ 9 ของทีมงานทรานส์เอเชีย เจ้าของเพจ “ล้อบรรยายโลก” ซึ่งปิดท้ายขบวนแจ๊คพอตแตก โดนตะปูเจาะยางเข้าให้เต็มเงี่ยง ต้องจอดเอ้ดเลดเพื่อเปลี่ยนยาง ส่วนคณะที่เหลือได้ล่วงหน้าไปแวะปั๊มซิโนเปค Sinopec ปั๊มน้ำมันเปิดใหม่ จะเติมน้ำมันก็ยังไม่เปิดบริการ จึงขอใช้บริการห้องน้ำแทน และพักดื่มกาแฟรอรถเบอร์ 9
เป้าหมายวันนี้เป็นการมุ่งหน้าสู่เมืองฮามี่ ซึ่งเป็นถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ช่วงนี้นอกจากทุ่งหญ้ากว้าง ก็จะเห็นเสาไฟฟ้าแรงสูงจำนวนมาก และเสาปั่นพลังงานไฟฟ้ากังหันลม นานทีกว่าจะเจอกับรถท้องถิ่น รถบรรทุกขนาดใหญ่ และรถทางราชการของจีน ตามด้วยพายุทะเลทรายเล็กๆ และฝนที่ตกเรื่อยเปื่อย ดูเหมือนไม่ค่อยรีบร้อนจะตก
วันนี้มีด่านทางด่วนข้ามมณฑลด้วยนะครับ เขาคิดเงินตามน้ำหนัก คณะเราขับลมโชยเกศามาเรื่อยๆ แล้วเจอกับร้านปะยางข้างถนน ทั้งคณะก็จอดแวะตรึมเลย เพื่อให้รถเบอร์ 9 นำยางที่รั่วไปปะเปลี่ยนให้เรียบร้อย ระหว่างนี้ก็มีชากาแฟและมาม่าตามระเบียบของคนที่พอจะมีกินมีใช้ ฮ่าฮ่า ก่อนออกเดินทางกันต่อไปนะ
ประมาณ 1 ทุ่ม ก็มาถึงเมืองฮามี่ เข้าเขตตัวเมืองเป็นถนนกว้าง 6 เลนสวน แล้วก็เจอรูปปั้น ม้าวิ่งเหยียบหลังนกนางแอ่นบนลูกโลก สัญลักษณ์ของเส้นทางสายไหม หรือแพรไหม ตรงวงเวียนก่อนเข้าเมืองฮามี่ ซึ่งม้าตัวนี้เล่ากันว่า เป็นม้าสวรรค์เทียนหม่า วิ่งได้เร็วมากขนาดนกนางแอ่นถลาลม เหงื่อออกเป็นสีชาด (สีแดง) โน่นเลย เจ๋งและขลังมาก เป็นคุณสมบัติของม้ามองโกล ต้นตำนานนักรบบนหลังม้า เก่งถึงขนาดหลับบนหลังม้าได้ก็แล้วกัน
เบ็ดเสร็จเด็ดขาด วันนี้ใช้ระยะเดินทาง 494.8 กิโลเมตร แบกเป้เดินแกว่งกระโปกเข้าห้องพัก แล้วมาทานอาหารเย็นกัน มื้อนี้คล้ายกับมื้อเที่ยง มีหมึกผัดน้ำพริกเผา นับว่ามันมาไกลลิบโลก แถวนี้มีทะเลซะเมื่อไหร่? มีไข่เจียว ซุบไก่ หมูผัดพริก ปลาจีนทอดสามรส มะเขือเทศกับเห็ดหูหนูผัดไข่ ผัดผักบล็อคเคอรี่ และปิดท้ายหรือล้างปากกันด้วย “บักแตง” ของขึ้นชื่อแห่งเมืองแตง ซึ่งแตงฮามี่นี้ขึ้นชั้นเรื่องความหวาน ก้องเกียรติลองชิมดูแล้ว บังเอิญลูกนั้นหวานสู้แตงไทยของเราไม่ได้
พออิ่มก็ขึ้นห้องพักนอน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเดินทางไกลกันอีก..โปรดติดตามนะโยม ยังอีกไกลมากโขคร้าบพี่น้อง จ๋าจ้า