โดย : ก้องเกียรติ ศรีทับทิม
(กรุงเทพฯ-เวนิส : 3 มิถุนายน-17 กรกฎาคม 2559)
ตอนที่ 5 : บางกอก-ปักกิ่ง-ตุนหวง
อ่าน เรื่องเก่าเล่าใหม่ EP4 “ซีหนิง-เจี่ยยวี่กวน-ตุนหวง “
สวัสดีครับแฟนๆที่เคารพ กระผม “ก้องเกียรติ ศรีทับทิม” รายงานตัวเข้าเวรผลัด 2 รับไม้ต่อจาก “ฉัตรมงคล ดวงฤทธิ์” ผลัด 1 ซึ่งขับช่วงสุดท้าย ซีหนิง-เจี่ยยวี่กวน-ตุนหวง ในวันที่ 10 มิถุนายน 2559 จบเห่ เอวัง ด้วยประการฉะนี้ไปเรียบร้อยสมปรารถนา
สำหรับของก้องเกียรติ ต้องถอยหลังไปวันที่ 9 มิถุนายน 2559 ซึ่งเป็นวันอำลาบางกอกที่สนามบินสุวรรณภูมิในตอนพลบค่ำ เช็คอินและโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องของสายการบินแอร์ไชน่า Air China อันเป็นสายการบินแห่งชาติของจีน เป็นรัฐวิสาหกิจ และใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากไชน่าเซาต์เทิร์นแอร์ไลน์ แต่ก็เป็นศิลปินเดี่ยวของจีนที่มีเที่ยวบินระหว่างประเทศ ขนาดฝูงบินใหญ่เบอร์ 18 ของโลก ปักหลักอยู่ที่ท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง,เฉิงตูชวนหลิว, เซี่ยงไฮ้ผู่ตง และเป็นพันธมิตรสายการบินสตาร์อัลไลแอนซ์ อีกซะล่วย!! ปัญหาคือเขาจำกัดจำนวนกระเป๋า ใครบ้าสมบัติมีหลายใบก็ต้องเดือดร้อนให้เพื่อนช่วยแบ่งสมบัติกันพองาม
ได้เวลาเทคออฟช่วงประมาณ 4 ทุ่ม นั่งหลับนกได้ปื้ดเดียวก็ต้องตื่น เพราะเส้นทางบินเจอพายุเมฆฝนตกกระหน่ำ ได้ยินโป๊กเป๊กเหมือนคนตอกตาปูอยู่นอกเครื่อง เลยเที่ยงคืนไปก็แลนดิ้งดำดิ่งลงจอดที่สนามบินแห่งหนึ่ง แห่งไหนก็ไม่รู้หละ ทั้งสนามบินมืดมิด มีไฟไม่กี่ดวง เครื่องจอดแน่นิ่งสนิทแล้วแต่ไฟในเครื่องไม่เปิด ผ่านไปสัก 20 นาที ลองเทียบเวลาดูก็รู้ว่ามาถึงก่อนตารางบิน ที่ปักกิ่งเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง แต่ทำไมมาจอดกลางลานวัด ไม่ยอมเข้าเทียบงวง บางคนก็เริ่มเอากระเป๋าจากเคบินเพื่อเตรียมตัวลง สักพักกัปตันก็ประกาศทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีนแบบสั้นๆ ดำน้ำแปลออกมาได้ความว่า สนามบินปักกิ่งเจอวิกฤติหนัก หลังโดนพายุถล่มน้ำท่วมขังรันเวย์ เครื่องบินทุกลำที่จะลงสนามบินปักกิ่ง ต้องไปลงลานวัดอื่นก่อน!! จังซั่นหละบาดเนี่ย
สักพักแอร์โฮสเตส ก็เริ่มยุทธการปิดปากอันโล้งเล้งของผู้โดยสาร นำขนมเกลียวมาแจกให้ รสชาติก็เหมือนกับบะหมี่แห้งบ้านเรานี่เลย พองัดตำราอิเลคทรอนิคมาเปิดเวปไซต์ดู..ชิบหายแล้วอาตี๋!!..นี่มันเมืองอีเรนฮอต เขตมองโกเลียใน ชายแดนประเทศจีนติดกับประเทศมองโกเลีย ห่างจากสนามบินปักกิ่งตั้ง 500 กม.ฮ่าฮ่า พ่อใหญ่ขงเบ้งเอ๋ย งามไส้หละทีนี้
ปักกิ่ง-ตุนหวง
วันที่ 10 มิถุนายน 2559 : นั่งหลับนกในเครื่องไปอีก 2 ชั่วโมง โดยเขาให้หลับฟรีแบบกินเปล่า รอจนเครื่องขึ้นบิน แค่ชั่วโมงเศษก็ถึงสนามบินปักกิ่ง ซึ่งเช้านี้ผู้คนในสนามบินยังไม่ขวักไขว่ อาจเป็นเพราะเครื่องลงกันหมดเช็คเอาท์ออกไปแล้ว หรือยังลอยเท้งเต้งอยู่บนฟ้ารอเวลาลงก็ไม่แน่ใจ แต่คณะผลัด 2 ของเรา ต้องรีบก่อนจะตกเครื่องที่จะไปตุนหวง ตม.จีนตรวจเอกสารการเดินทาง ไปรับกระเป๋าที่โหลดมา แล้วใส่เกียร์หมาเดินขาลากไปเช็คอินอีกที่หนึ่งซึ่งไกลพอสมควร
คราวนี้ได้เกิดเรื่องโกลาหลกันอีก เมื่อพี่ใหญ่ในกลุ่มบอกว่า ป้ายที่ติดกระเป๋าจากสนามบินสุวรรณภูมิให้แกะทิ้งได้เลย เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะติดให้ใหม่ ผู้ใหญ่บอกเราก็ต้องทำตาม ครั้นพอไปถึงเจ้าหน้าที่เช็คอินถามถึงป้ายอยู่ที่ไหน เพราะเขาเช็คอินกระเป๋ามาให้เลยทั้ง 2 สนามบิน ก็ต้องใส่เกียร์หมาอีกรอบ วิ่งวุ่นออกตามหาป้ายในถังขยะตามทางเดินที่ผ่านมา เล่นเอาเหนื่อยน้ำลายเหนียวเลยอีนางเอ๋ย พอมาถึงดูสีหน้าเจ้าหน้าที่คงจะด่าพวกเราในใจจนอกแทบแตกตาย เสร็จจากด่านโหลดกระเป๋า ก็เดินต่อไปด่านตรวจสัมภาระที่จะเอาขึ้นเครื่อง พอจะรู้ว่าด่านนี้เขี้ยวยาวมาก เคยเจอกับตัวเองมาแล้ว ต้องรื้อกระเป๋าเอากล้องเอาเลนส์เอาแฟลชออกมาหมด แต่ดันลืมเพาเวอร์แบงค์ พอเข้าเครื่องเอ็กซ์เรย์ เจ้าหน้าที่ก็มาล้วงในกระเป๋าเอาเพาเวอร์แบงค์ไปเช็คดูว่ามีกี่มิลลิแอมแปร์ เกินกว่ากติกามั้ย ถ้าไม่เกินก็เอามาคืน ถ้าเกินหรือไม่เห็นค่า ก็โดนริบเท่านั้นเอง กว่าจะผ่านได้บอกเลยว่าระยิบเลย
เดินมาถึงเกท รอขึ้นเครื่องบิน พี่ใหญ่จะโทรศัพท์ไปบอกภรรยาที่เมืองไทย หาไม่เจอนะซีโยม นั่งนึกลำดับเหตุการณ์ จำได้ว่าลืมอยู่ตรงเครื่องเอ็กซ์เรย์ตรวจสัมภาระ ก็ต้องใส่เกียร์หมาอีกเป็นรอบที่ 3 ทั้งที่แข้งขาก็ไม่ค่อยดีดเท่าไหร่ มันขาดน้ำขิง!!
จากปักกิ่งบินมาตุนหวงใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง พวกขี้ยารีบออกมาด้านหน้าอาคาร เพื่อหาสถานที่รมควันก่อนที่จะลงแดงตาย ก็เจออยู่ตรงทางเข้าอาคาร มีที่เขี่ยพร้อมไฟแช็ค ที่คนจีนทิ้งเอาไว้ให้ก่อนจะเข้าไปในอาคาร
วันนี้ได้เข้าพักที่โรงแรมตุนหวง ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับเมือง มาถึงก็เข้าห้องอาหารก่อนเลย มื้อแรกครับ เป็นมื้อเที่ยง ประกอบด้วย ผัดดอกกะหล่ำ เฟรนช์ฟรายส์ บะหมี่น้ำแกงอะไรสักอย่าง ไก่ผัดเครื่องเทศ มะเขือเทศผัดไข่ หมั่นโถ มะระผัดกับเห็ดหูหนู หมูผัดเปรี้ยวหวาน ซุปใส ปลาจีนนึ่งซีอิ๊ว และไข่เจียว พอทานเสร็จก็เข้าห้องพัก ล้างหน้าล้างตา หลับยาวอีกปื้ดหนึ่ง ก่อนจะเดินสำรวจเมืองตุนหวง
ออกจากโรงแรม ก็เดินลงอุโมงค์ลอดถนน ทางลงประดับด้วยรูปสาวงามกำลังดีดและเป่าเครื่องดนตรี ไปฝั่งตรงข้ามก็ยังเป็นโรงแรมเดิมที่ปลูกใหม่ มีห้องพัก ห้องประชุมสัมมนา และงานเลี้ยง ส่วนฟากที่พวกเราข้ามมา เป็นโรงแรมเก่าที่ใช้สำหรับนอนพักและห้องอาหาร เมืองนี้หลายส่วนกำลังก่อสร้างขยับขยาย เป็นเมืองใหม่ที่อาคารเป็นตึกแต่หลังคาเป็นทรงจีน เดินมาเรื่อยๆก็เจอกับวงเวียนกลางเมือง มีอนุสาวรีย์ใหม่ๆรูปปั้นนางฟ้ากำลังดีดพิณ ก่อนจะเดินย้อนกลับแวะเข้าห้าง สำรวจสินค้าว่ามีอะไรที่น่าอุดหนุนบ้าง
ผ่านมาแป๊บนึง เห็นประตูทางเข้าใหญ่โต นึกว่าเป็นศาลเจ้าหรือวัด จะเข้าไปสักการะขอพรให้การเดินทางครั้งนี้ราบรื่น แต่กลับเป็นที่ทำการตลาดนัดหรือตลาดคนเดิน ซึ่งตอนที่ไปเป็นกลางวัน ตลาดเขายังไม่เปิด ทำให้ชาวคณะต้องเดินกลับโรงแรม เพราะได้เวลานัดกับรถบัสที่จะพาไปเนินทรายหมิงซาซาน
เมื่อถึงทางเข้าหมิงซาซาน คณะผลัด 1 “ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน ทริป บทพิสูจน์จริงระดับโลก” ก็มาถึงพอดี ต่างคนก็ถามไถ่แลกน้ำลายถึงความโหดร้ายระหว่างการเดินทางเจออะไรมาบ้าง จกตานัวเนียแล้วก็รวมก๊วนกันเดินเข้าไปชมเนินทรายหมิงซาซาน ที่ต้องผ่านร้านค้าขายของที่ระลึก ตุ๊กตาอูฐ รูปปั้นนางฟ้า ทรายสีต่างๆในขวดโหล ปลอกแขน หมวกและผ้าพันคอ ต่างจากเมื่อก่อน 9 ปีที่แล้วที่มีไม่กี่ร้าน เดี๋ยวนี้เขามีร้านให้เช่าถุงเท้ากันทรายที่ใส่มาถึงเข่า ร้านจำหน่ายบัตรสำหรับขี่อูฐ และบัตรรถกอล์ฟ นั่งไปทะเลสาบพระจันทน์เสี้ยว ไฮไลต์ของหมิงซาซานแห่งนี้ วันนี้มีนักท่องเที่ยวชาวจีนและต่างชาติรวมพี่ไทย บนยอดเนินทรายก็มีรถ ATV ให้นักท่องเที่ยวได้ขี่กันด้วย
ขากลับออกจากทะเลสาบพระจันทน์เสี้ยว ได้เห็นดอกดาวเรืองอยู่หลายแปลง แม้ไม่งามนักแต่ก็ชื่นชมความอุสาหะที่หาน้ำมารด เลยออกไปเนินทรายด้านโน้นอีกราว 5-6 กม.ยังมีร้านอาหารที่ชาวจีนพาลูกหลานมานั่งทานมื้อเย็นกัน บางกลุ่มก็มานั่งสังสรรค์และมีบริการ รถ ATV ให้ขับด้วย เวลาที่นี่ 2 ทุ่ม พระอาทิตย์ยังไม่ตกนะครับ ยังยิ้มแต้อยู่เลย นะจ๊ะที่รัก..โปรดติดตามตอนต่อไป